เดอะบีสต์
อิ๊งค์ Eat All Around
เดอะบีสต์
เดอะบีสต์(The Beast) อสูรกายที่รูปลักษณ์ภายนอกดูดุดัน แต่จิตใจข้างในกลับ อ่อนโยนละเอียดใส่ใจ นี่ไม่ใช่นิทานพื้นบ้านฝรั่งเศส แต่คือตัวตนของเชฟอ๊อฟ ณัฐวุฒิ ธรรมพันธุ์(เขาบอกเองว่าให้มองหน้าเชฟสิ ฮ่าๆๆ) หนึ่งในเชฟกระทะเหล็กประเทศไทย ซึ่งมีประสบการณ์โลดแล่นในวงการอาหารแนวร่วมสมัยที่อเมริกาจนเชี่ยวชาญ ตอนนี้เชฟอ๊อฟเปิดร้านใหม่ซึ่งเข้ากับตัวตนของเขา โดยใช้ชื่อว่า เดอะบีสต์(The Beast)
คอนเซปต์ของเดอะบีสต์คือร้านเนื้อเน้นแต่เนื้อวัวชั้นเลิศ ผ่านการปรุงด้วยเทคนิคพิเศษล้ำลึกไม่เหมือนใคร เพื่อให้ผู้มาชิมได้รับประสบการณ์การกินเนื้อแบบใหม่ประทับใจมิรู้ลืม
ผมรู้จักกับเชฟอ๊อฟมานานนับปี จึงทราบดีว่าเขาคือผู้ใฝ่รู้ ค้นคว้าหาเทคนิควิธีการทำอาหารให้ออกมาตื่นตาตื่นใจมีเอกลักษณ์ได้โดดเด่นยิ่งนัก เหมือนนักมายากลชั้นแนวหน้าที่มีลูกเล่นแพรวพราวหาตัวจับยาก
ที่ร้านเดอะบีสต์ก็เช่นกัน เชฟอ๊อฟศึกษากรรมวิธีการปรุงอาหารชองชาวมายาโบราณในอเมริกากลาง คิดสูตรผงทาเนื้อให้มีรสชาติอร่อย ตรงกันข้ามกับหน้าตาของเนื้อซึ่งมีผงดำๆสีไม่ชวนกิน
ก่อนอื่นขอบอกทางไปร้านเดอะบีสต์ อยู่ที่เดียวกับร้านวังหิ่งห้อย ริมถนนกำแพงเพชร 7 เลียบทางรถไฟ ทางเข้าร้านอยู่ก่อนถึงแยกที่จะเข้าด้านหลังของ RCA นิดเดียว พอเลี้ยวเข้าไปแล้วให้เลี้ยวซ้ายเข้าไปจอดรถด้านในสุดซึ่งอยู่ตรงข้ามกับสนามฟุตบอลเล็ก ตัวร้านอยู่ในอาคารชั้นเดียวด้านซ้ายมือ
เมื่อต้นปีเชฟอ๊อฟเพิ่งประเดิมเปิดร้านได้ไม่นานก็ต้องหยุดไปเนื่องจากสถานการณ์โควิด ต้นเดือนกันยาฟ้าใสจึงกลับมาเปิดใหม่ ถือเป็นโอกาสอันดี เพราะตอนนี้สามารถมาชิมได้ตั้งแต่ช่วงเที่ยงไปจนถึง 2 ทุ่ม จากเดิมที่มีเฉพาะมื้อเย็น โดยไม่จำเป็นต้องมาเป็นหมู่คณะ เพียงแค่สองคนก็รับแล้ว โดยให้โทรไปจองก่อนที่ 08-9716-2626 ถ้ามีที่ว่างก็เข้าไปในวันนั้นได้เลย
ช่วงเริ่มผ่อนคลายให้นั่งในร้านในเดือนกันยายน เชฟอ๊อฟได้จัดเซ็ทเมนูพิเศษ ชื่อว่า รีเสิร์ฟ(Reserve) เป็นคอร์ส 11 จาน ในราคาหัวละ 2,900 บาท++ ไม่ต้องมัดจำล่วงหน้า ซึ่งอาจจะมีแค่ถึง 30 กันยายน ซึ่งใครที่ไม่กินเนื้อให้แจ้งล่วงหน้าตอนจอง เชฟอ๊อฟจะเปลี่ยนเป็นปลากะพงขาว กุ้งแม่น้ำ หรือซี่โครงแกะให้
การตกแต่งร้านเดอะบีสต์จะเน้นไฟสลัวค่อนข้างมืด มีม่านแดงทึบเป็นฉากหลัง รูปทรงโคมไฟแชนเดอเลียร์ให้บรรยากาศเหมือนอยู่ในปราสาทอสูรลึกลับ อีกฝั่งหนึ่งเป็นครัวเปิด โชว์ตู้สำหรับบ่มเนื้อ มีชิ้นเนื้อสเต๊กก้อนใหญ่ที่บ่มไว้หลากหลาย โดยตามปกติจะบ่มไม่เกิน 60 วัน
เชฟอ๊อฟบอกว่าถ้าเปิดร้านเต็มที่เมื่อไหร่ ตรงทางเข้าห้องจะวางหม้อตุ๋นมันเนื้อกับเครื่องเทศสมุนไพรฝรั่ง ส่งกลิ่นหอมไปทั้งร้านกระตุ้นน้ำย่อย และมีลูกเล่นจุดเทียนเล็กๆทำจากไขมันเนื้อหอมฟุ้งบนโต๊ะกินข้าวอีกด้วย
เริ่มต้นคอร์สรีเสิร์ฟด้วยของกินเล่นเป็นคำๆ หรือ Amuse Bouche มีทั้งปลาหมึกยักษ์แกล้มมะเขือเทศและพริกฮาลาเพญโญ่ดอง ต่อด้วยแอนโชวี่(Anchovie)หรือปลาตัวเล็กดองน้ำเกลือจากสเปนกินกับมูสแตงกวาใส่ครีมชีส และคาร์ปาชโช่(Carpaccio) เนื้อ Black Angus อเมริกาชิ้นบางๆ แกล้มหอมเจียว กระเทียมชิปส์กรอบและชีสพาร์เมซานบางกรอบ
จากนั้นจึงจะถึงจานเรียกน้ำย่อย เป็นเนื้อ 3 อย่าง 3 คอร์ส เรียกว่าชาบู เชฟอ๊อฟมีลูกเล่น นำน้ำมันเนื้อมาทาหม้อที่จะจุ่มเนื้อทั้ง 3 ชนิดในน้ำชาบูซึ่งมีส่วนผสมของมันเนื้อและสาหร่ายคอมบุ และยังนำมันเนื้อมาตีเป็นน้ำสลัดวิเนเกรตอีกด้วย
เนื้อส่วนแรกคือเนื้อสันในแองกัสนุ่มๆกินกับไข่แดงออร์แกนิกสดๆ ต่อด้วยเนื้อแองกัสส่วนเซอร์ลอยน์กับไข่กงฟี(Confit)หอมกลิ่นทรัฟเฟิล ปิดท้ายคอร์สชาบูด้วยเนื้อวากิวฮอกไกโดเกรด A3 กับครีมไข่หอยเม่น ซึ่งมีผงทาเนื้อที่ได้แรงบันดาลใจจากชาวมายา ประกอบไปด้วย กาแฟ พริกปาปริก้ารมควัน ผงคาเคา ถ่านกัมมันต์ หรือ activated carbon กาบมะพร้าวรมควัน และเมล็ดยี่หร่าดำ
ระหว่างที่เสิร์ฟคอร์สเนื้อก็จะมีน้ำซุปสมุนไพรไทยเคี่ยวกับผักต่างๆในถ้วยน้ำชาให้ดื่มคู่กัน ซึ่งจะช่วยชูรสชาติของเนื้อให้หอมขึ้นเป็นทวีคูณ อีกทั้งยังมีผักสลัดเบบี้คอสหรือโรเมนจุ่มในน้ำมันเนื้อหอมเป็นที่สุด
ชิมไปหลายจานแล้ว เพิ่งจะถึงพระเอกเมนูหลัก คือบรรดาเนื้อชั้นเลิศ 3 ชนิดนำมาย่าง เริ่มด้วยเนื้อวากิวญี่ปุ่นจากเมืองโกเบ(เกรด A3) ส่วนริบอายแค็ป(Ribeye Cap) ที่หุ้มอยู่ด้านบนริบอาย โดยผ่านการเอจหรือบ่มนาน 100 วัน(ช่วงร้านปิด) รสชาติจึงเข้มข้นมาก ยิ่งได้ผงทาเนื้อสูตรเชฟอ๊อฟเข้าไปแล้ว ยิ่งหอมอร่อย แกล้มด้วยเห็ดดองกับไวน์ขาว ต่อด้วยเนื้อวากิวญี่ปุ่น A3 ส่วนสันนอกหรือสตริปลอยน์นุ่มๆ และมีทีเด็ดคือเจอร์กี้(Jerky) หมายถึงเนื้อเค็มอบแห้งแผ่นบางๆ ทำจากมันเนื้อซากะ(Saga) A4 หอมมันอร่อย แกล้มด้วยบีทรูท เปลือกแตงโมและแครอทดองน้ำส้มสายชู
จบมื้อนี้ด้วยไอศกรีมซอร์เบท(Sorbet) ล้างปากรสยูสุกับว่านหางจรเข้เพื่อเพิ่มเนื้อสัมผัส และไอริชคอฟฟี่โรยหน้าด้วยผงไขมันเนื้อรมควันเข้ากันดี กินกับของหวานช็อกโกแลตบอนบอน(Chocolate Bonbons) เข้มๆ
คอร์สที่ผมชิมไปแล้วนี้คือตัวอย่างผลงานสร้างสรรค์ของเชฟอ๊อฟ ซึ่งในเดือนตุลาคมต้องติดตามกันว่าจะเป็นคอร์สอะไร ส่วนใครที่ต้องการคอร์สรีเสิร์ฟอลังการดั้งเดิมคนละ 4,590 บาท++ ก็เชิญสอบถามกันได้ นอกจากนี้ยังมีเมนู Wholesome อันหมายถึงสั่งได้เป็นจานๆแบบอลาคาท ให้เลือกอีกด้วย นอกจากจะมีเมนูสเต๊กต่างๆแล้ว สามารถสั่งเนื้อที่เอจหรือบ่มทั้งก้อนมาแบ่งกันได้ เช่นเนื้อ Porterhouse ชิ้นโต หนัก 1.4 กิโลกรัม(700 บาทต่อขีด) สำหรับ 3-4 คน เสิร์ฟพร้อมข้าวผัดมันเนื้อและสลัด
ขอเชียร์ให้ไปชิมคอร์สเนื้อตื่นตาตื่นใจของเชฟอ๊อฟผู้ไม่เคยทำอะไรธรรมดาๆ แต่ละวันมีจำนวนจำกัด รับรองว่าจะสนุกสนานเพลิดเพลินไปกับลูกเล่นของเชฟอ๊อฟอย่างแน่นอน